มือ เท้า ปาก โรคยอดฮิตของเด็ก กันได้ด้วยวัคซีน!
โรคมือ เท้า ปาก คืออะไร?
โรคมือ เท้า ปาก (Hand, foot, and mouth disease, HFMD) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส มักพบในเด็กทารก และเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ได้ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้ เจ็บในปาก มีตุ่มพองในปาก มีผื่นขึ้น
โรคมือ เท้า ปาก มีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1 สัปดาห์ หลังสัมผัสเชื้อ ดังนั้น จึงสามารถติดต่อกันได้แม้จะยังไม่มีอาการแสดงใดๆ
อะไรคือสาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก?
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากไวรัสในตระกูล Enterovirus โดยส่วนใหญ่เป็น Coxsackievirus A16, Coxsackievirus A6 และ Enterovirus 71 ในช่วงสัปดาห์แรกหลังสัมผัสเชื้อเป็นระยะที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายมากที่สุด มักพบการระบาดของโรคนี้ได้บ่อยในช่วงฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม)
อาการของโรคมือ เท้า ปาก มีอะไรบ้าง?
อาการแสดงของโรคในระยะเริ่มแรก ได้แก่
มีไข้
ไม่อยากอาหาร
เจ็บคอ
ไม่สบายตัว
หลังจากมีไข้ 1-2 วัน จะเริ่มมีอาการเจ็บในปาก ต่อมาเริ่มมีจุดแดงบริเวณด้านหลังของปาก และเกิดแผลตุ่มพอง ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บ เกิดผื่นบนฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น อาจพบผื่นแบบเรียบ จุดแดง หรืออาจพบเป็นแผลตุ่มพองได้ ในบางครั้งผื่นอาจแพร่กระจายไปยังหัวเข่า ข้อศอก ก้น และอวัยวะเพศในเด็กเล็กอาจเกิดการสูญเสียน้ำจากร่างกายได้ ถ้าไม่สามารถรับประทานอาหารหรือกลืนได้เนื่องจากเจ็บแผลในช่องปาก ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรักษาอาการดังกล่าว
อาการที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นสามารถพบได้ในผู้ป่วยเด็กเป็นส่วนใหญ่ ในกรณีเกิดการติดเชื้อไวรัสนี้ในผู้ใหญ่ อาจเกิดอาการเพียงเล็กน้อย หรือไม่แสดงอาการออกมาเลย และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีอาการรุนแรง อย่างไรก็ตาม ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นได้
ท่านสามารถติดโรคมือ เท้า ปาก จากทางใดได้บ้าง?
โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส โดยเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ง่าย ทั้งผ่านทางระบบทางเดินหายใจ จากการสัมผัสน้ำลาย เสมหะ น้ำมูก และระบบทางเดินอาหาร จากการสัมผัสอุจจาระของผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสของเล่น น้ำ และอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสได้อีกด้วย
โรคมือ เท้า ปาก รักษาได้อย่างไร?
ไม่มีการรักษาอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับโรคมือ เท้า ปาก มีเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น ท่านสามารถบรรเทาอาการโรคมือ เท้า ปาก และลดความรุนแรงของโรคได้ ดังนี้
ใช้ยาแก้ปวดลดไข้ Paracetamol หรือ Ibuprofen หลีกเลี่ยงการใช้ยา Aspirin ในเด็ก
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มร้อน โซดา อาหารที่เป็นกรด รสเค็ม และรสเผ็ดจัด
บ้วนปากหลังรับประทานอาหาร หรือใช้สเปรย์พ่นคอเพื่อลดอาการเจ็บแผลในปาก
สามารถรับประทานไอศกรีม หรือดื่มเครื่องดื่มเย็น เพื่อลดอาการเจ็บแผลในปากได้
ควรรับประทานอาหารเหลว เพื่อลดการใช้ช่องปากในการบดเคี้ยวอาหาร
ถ้ามีแผลในปาก และเจ็บจนไม่สามารถกลืนได้ ควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการเสียน้ำออกจากร่างกาย แต่ถ้าไม่สามารถกลืนหรือดื่มน้ำได้เลย อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดต่อไป
โรคมือ เท้า ปาก สามารถป้องกันได้อย่างไร?
วิธีที่ง่ายที่สุดในการป้องกันโรคมือ เท้า ปาก คือการดูแลสุขภาพของตนเองอยู่เสมอ ดังนี้
ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ อย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมและหลังการใช้ห้องน้ำ หากกรณีไม่มีสบู่ล้างมือ สามารถใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือแทนได้
ทำความสะอาดพื้นที่และสิ่งของให้สะอาดบ่อยๆ โดยเฉพาะของเล่นเด็ก
หลีกเลี่ยงการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น การจูบ การกอด
ไม่ใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะจาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ
เด็กควรหยุดเรียนเพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจาย รอจนกระทั่งไม่มีไข้และไม่มีแผลในปาก
นอกเหนือจากวิธีปฏิบัติข้างต้น ในปัจจุบันยังมีวัคซีนเพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก โดยเฉพาะ ท่านสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพาบุตรหลานรับวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ได้
วัคซีนโรคมือ เท้า ปาก คืออะไร?
วัคซีนโรคมือ เท้า ปาก ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยเป็นเป็นวัคซีนเชื้อตาย ที่ประกอบไปด้วยแอนติเจนของเชื้อเอนเทอโรไวรัสชนิด 71 (Enterovirus type 71, EV71) วัคซีนนี้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อ EV71 เพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่เกิดจากการติดเชื้อ EV71 ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคมือเท้าปากที่เกิดจากไวรัสชนิดอื่นๆ (เช่น Coxsackievirus A16 เป็นต้น)
จากการศึกษาพบว่าการฉีดวัคซีนโรคมือ เท้า ปาก ครบ 2 เข็ม สามารถป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่เกิดจากการติดเชื้อ EV71 ได้สูงถึง 97.3% ในช่วง 1 ปีแรกหลังฉีดวัคซีน และป้องกันได้ 93.77% ในช่วงปีที่สองหลังฉีดวัคซีน
ใครควรได้รับวัคซีนโรคมือ เท้า ปาก?
วัคซีนนี้เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี โดยฉีดทั้งหมด 2 โดส ห่างกัน 1 เดือน และเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดจากวัคซีนโรคมือ เท้า ปาก มีอะไรบ้าง?
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้:
พบบ่อยมาก (≥10%): ไข้
พบบ่อย (1%-10%):
อาการบริเวณที่ฉีดยา: ปวด แดง บวม ผิวหนังแข็ง
อาการอื่นๆ: ไม่อยากอาหาร, หงุดหงิด, ถ่ายเหลว, คลื่นไส้, อาเจียน, อ่อนเพลียพบไม่บ่อย (0.1%-1%): มีอาการคัน
เครดิตแหล่งข้อมูล :bumrungrad
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!