ความแตกต่างระหว่างผ่าคลอด และคลอดเองธรรมชาติ
ก่อนคลอด
คลอดธรรมชาติ
เมื่อครบกำหนดการตั้งครรภ์ สัญญาณที่บอกว่าคุณแม่พร้อมคลอด ได้แก่ ทารกกลับหัว(หันหัวไปทางปากช่องคลอด) อาการมดลูกบีบรัดตัวเป็นระยะ ซึ่งจะบีบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ปากมดลูกขยายตัว ถุงน้ำคร่ำแตก เป็นต้น
ผ่าคลอด
สามารถนัดวันและเวลาในการผ่าตัดได้ เมื่ออายุครรภ์พร้อม และสุขภาพคุณแม่และลูกในครรภ์พร้อม
คุณแม่ต้องอดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
คุณแม่จะได้รับการดมยาสลบ หรือใช้วิธีฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง (บล็อกหลัง) เพื่อป้องกันการเจ็บปวดขณะผ่าตัด
คลอดธรรมชาติ
คุณหมอจะทำการตัดฝีเย็บ เพื่อขยายให้ช่องคลอดมีขนาดกว้างพอที่จะทำคลอดได้ และเมื่อการคลอดเสร็จสิ้นก็จะเย็บกลับคืนตามปกติ
ขณะคลอดอาจรู้สึกเจ็บปวดมาก จากการบีบตัวของมดลูก แต่หลังคลอดอาการปวดจะหายไปทันที เหลือเพียงอาการเจ็บแผลตรงฝีเย็บซึ่งจะหายได้ภายในเวลาไม่กี่วัน
ความยากง่ายในการคลอดของแต่ครั้งและแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปไม่แน่นอน
ผ่าคลอด
วิธีการผ่าตัดเริ่มจากคุณหมอกรีดมีดผ่านผนังหน้าท้องทีละชั้นจนถึงมดลูก เข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อเปิดทางนำตัวทารกออกมา
กระบวนการผ่าตัด ตั้งแต่ดมยาสลบ/บล็อกหลัง จนถึงนำตัวเด็กออกมา ตามปกติแล้วใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที
เมื่อนำตัวเด็ก รวมถึงรกออกมาแล้ว คุณหมอจะทำการเย็บปิดมดลูก และเย็บผนังหน้าท้อง
หลังคลอด
คลอดธรรมชาติ
มีอาการอ่อนเพลียจากการเจ็บครรภ์และเบ่งคลอด การเสียเลือด เสียน้ำ และภาวะที่ร่างกายปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลง
สามารถฟื้นตัวได้เร็วเมื่อได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ มดลูกหดตัวไว ภายในเวลาไม่กี่วัน ไม่มีแผลที่มดลูก
คุณแม่ที่คลอดธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะมีน้ำนมทันทีหลังคลอด
ผ่าคลอด
มีอาการอ่อนเพลียจากการเสียเลือด เสียน้ำ และภาวะที่ร่างกายปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลง
เมื่อยาชาหมดฤทธิ์ คุณแม่จะเจ็บแผลผ่าตัดมาก ซึ่งต้องใช้เวลาพักฟื้นยาวนานหลายเดือนจนกว่าจะหายเจ็บแผล หรือแผลหายสนิท
มีแนวโน้มที่จะยังไม่มีน้ำนมหลังคลอดทันที เพราะร่างกายยังปรับตัวไม่สมบูรณ์
มีแผลเป็นที่หน้าท้อง รวมถึงแผลเป็นในช่องท้องที่มองไม่เห็นด้วย
ความเสี่ยง
คลอดธรรมชาติ
ความเสี่ยงขณะการคลอดธรรมชาติมักเกิดจากภาวะฉุกเฉินไม่คาดคิด เช่น ภาวะตกเลือด ทารกไม่กลับหัวทำให้อยู่ในท่าที่คลอดยาก อุ้งเชิงกรานของแม่เล็ก หรือปากมดลูกไม่เปิดทำให้การคลอดเป็นไปอย่างลำบาก
ในกรณีที่คลอดยากจนต้องใช้เครื่องมือช่วย เช่น คีม หรือเครื่องดูดสุญญากาศ อาจทำให้ทารกได้รับบาดเจ็บจากการใช้เครื่องมือนั้นได้
ผ่าคลอด
ความเสี่ยงขณะผ่าตัดอันเกิดจากภาวะแทรกซ้อน เช่น เสียเลือดมากระหว่างผ่าตัด หรือภาวะความดันต่ำจากการบล็อกหลัง เป็นต้น
มีโอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อที่แผลผ่าตัด เช่นเดียวกับการผ่าตัดใหญ่ทั่วไป
มีแนวโน้มที่จะเกิดพังผืดภายในช่องท้องอันเป็นผลจากกระบวนการหายของแผลตามธรรมชาติ ซึ่งพังผืดที่เกิดขึ้นนี้ไม่เป็นผลดีต่อการผ่าตัดครั้งต่อไปที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ค่าใช้จ่าย
คลอดธรรมชาติ
ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก สามารถประเมินการณ์ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้
ผ่าคลอด
ไม่สามารถประเมินการณ์ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้ชัดเจน เพราะในกรณีที่ครรภ์มีปัญหา หรือการผ่าตัดมีปัญหา อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน
คำแนะนำ
แม้การคลอดด้วยวิธีผ่าตัดจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสะดวกสบายและวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นอย่างมากจนภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดลดน้อยลง แต่ปัจจุบันการคลอดแบบธรรมชาติกลับมาได้รับความสนใจจากแม่ยุคใหม่มากขึ้น เพราะข้อดีในเรื่องของการฟื้นตัวเร็ว ทำให้สามารถดูแลลูกได้เต็มที่มากกว่า รวมถึงการที่ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากเชื้อแบคทีเรียดีที่อยู่ในช่องคลอดของแม่ และการที่มีแนวโน้มว่าร่างกายจะผลิตน้ำนมตามธรรมชาติได้รวดเร็วหลังคลอด
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ คุณแม่หลายคนตั้งใจจะคลอดเอง แต่เมื่อถึงกำหนดคลอดกลับไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ เช่น มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ปากมดลูกไม่เปิด มีเนื้องอก รกเกาะต่ำ ลูกไม่กลับหัว ลูกอยู่ในท่าขวาง หรือมีข้อบ่งชี้ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่อำนวยต่อการคลอดธรรมชาติ และอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น ลูกหัวใจเต้นช้าลงกะทันหัน ซึ่งกรณีต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณหมอต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉินในที่สุด
ฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกวิธีการคลอด คือ ปัจจัยความพร้อมทางด้านสุขภาพร่างกายของแม่และลูก วิจารณญาณของสูตินรีแพทย์ และการตัดสินใจที่เหมาะสมตามสถานการณ์เฉพาะหน้าในขณะคลอดเป็นหลักค่ะ ไม่แนะนำให้ยึดติดกับการคลอดธรรมชาติเพียงอย่างเดียว หรือตัดสินใจเลือกวิธีผ่าคลอดเพียงเพราะต้องการฤกษ์งามยามดีเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ให้รอบด้านเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคุณแม่และลูกน้อยค่ะ
เครดิตแหล่งข้อมูล : babylove