6 สัญญาณอาการเปลี่ยนแปลงที่พบบ่อยของคุณแม่ตั้งครรภ์
1. อาการแพ้ท้อง (Morning Sickness) เป็นอาการที่คุณแม่จะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งในคุณแม่ท้องส่วนใหญ่มักมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นในช่วงเช้า โดยอาการแพ้ท้องจะเกิดขึ้นมาก-น้อยต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งคุณแม่จะเริ่มมีอาการแพ้ท้องเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 6 สัปดาห์(นับจากประจำเดือนที่มาครั้งสุดท้าย) และจะมีอาการมากขึ้นในช่วงอายุครรภ์ได้ประมาณ 8-10 สัปดาห์ ในคุณแม่ท้องที่มีอาการแพ้ท้อง สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น นมอุ่นๆ หรือน้ำผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ยิ่งทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างอาหารที่มีไขมันมาก และควรทานอาหารมื้อละน้อยๆ แต่ทานถี่ขึ้น
2. อาการปัสสาวะบ่อย สำหรับคุณแม่ท้องมือใหม่ ที่เพิ่งตั้งครรภ์ครั้งแรก อาจมีความสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงได้ปวดปัสสาวะบ่อยในระหว่างวัน ซึ่งจริงๆ แล้วอาการปัสสาวะบ่อยถือเป็นอาการปกติของคนท้องค่ะ ซึ่งอาการนี้จะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรก นั่นเพราะว่าฮอร์โมนภายในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง และมาจากมดลูกที่ค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นจนเบียดกับกระเพาะปัสสาวะนั่นเองค่ะ ซึ่งอาการปวดปัสสาวะบ่อยจะมีขึ้นอีกครั้งช่วง 1 เดือนก่อนคลอด นั่นเพราะศีรษะของทารกไปกดกระเพาะปัสสาวะของคุณแม่
3. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เชื่อว่ายังมีหลายๆ คนเกิดคำถามว่า ช่วงที่ท้องเนี่ย น้ำหนักควรอยู่ที่เท่าไหร่ ต้องบอกว่าน้ำหนักที่ได้มาตรฐานสำหรับคนท้องที่ต้องให้สมดุลไปตลอดทั้ง 9 เดือนนั่นคืออยู่ที่ประมาณ 10-15 กิโลกรัม แต่ส่วนมากคนท้องที่มีอาการแพ้ท้องในช่วงไตรมาสแรกน้ำหนักจะไม่ค่อยขึ้นมากเท่าไหร่ แต่พอเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2-3 น้ำหนักตัวควรเพิ่มขึ้น ซึ่งน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นสามารถแยกออกมาได้ คือ ตัวลูก 3,300 กรัม รก 680 กรัม น้ำคร่ำ 900 กรัม มดลูกที่ขยายขนาดขึ้น 900 กรัม เต้านมที่ขยายขนาดขึ้น 900 กรัม ไขมันและโปรตีนของตัวคุณแม่ 4,000 กรัม และมาจากเลือดกับน้ำในร่างกายที่เพิ่มขึ้น 1,800 กรัม การเพิ่มขึ้นของปริมาตรเลือดของคุณแม่ตั้งครรภ์ก็เพื่อตอบสนองต่อมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น และมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และเพื่อป้องกันไม่ให้คุณแม่และทารกในครรภ์จากการไหลเวียนของเลือดกลับเข้าหัวใจน้อยลงในท่านอนหงายและท่ายืน คุณแม่ควรดูแลสุขภาพร่างกายในระหว่างตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ด้วยการทานโฟเลท เพราะโฟเลทมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ธาตุเหล็กที่เป็นส่วนประกอบของฮีโมฌกลบินในเม็ดเลือดแดง
4. อาการท้องผูก มักเกิดขึ้นในคนท้องเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งส่วนหนึ่งมากจากการทานอาหารที่มีกากใยน้อยลง และมาจากฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวทำให้การบีบตัวของลำไส้ใหญ่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพน้อยลง สำหรับอาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่สามารถลดอาการท้องผูกได้ด้วย ดีอาร์ 10 (DR10) จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ที่ทำงานร่วมกับไฟเบอร์ช่วยในการเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหาร และช่วยในการกระตุ้นการขับถ่าย
5. อาการปวดหลัง พออายุครรภ์เข้าเดือนที่ 5 เป็นต้นไป รูปร่างและขนาดครรภ์ของคุณแม่จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้น จนเป็นผลให้คุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักของท้อง ทำให้ต้องแอ่นหลัง การที่ต้องแอ่นหลังนานๆ เป็นผลให้คุณแม่มีอาการปวดหลังขึ้นได้ค่ะ ซึ่งอาการปวดหลังสามารถบรรเทาด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยทำให้ร่างกายของคุณแข็งแรง เมื่อร่างกายของคุณแม่แข็งแรงก็จะช่วยพยุงรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้
6. อาการตะคริว ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณอาการที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งอาการตะคริวที่เกิดกับคนท้องนั้น มาจาการร่างกายมีปริมาณโปรตีนอัลบูมินในเลือดมากขึ้น ส่งผลให้แคลเซียมในเลือดจับกับโปรตีนอัลบูมิน ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดลดลง จึงเกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อขึ้น สำหรับคุณแม่ที่มักมีอาการตะคริวเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ แนะนำให้รับประทานอาหารที่แคลเซียม เช่น กุ้งแห้ง ปลากรอบมีกระดูก หรือดื่มนมให้เพียงพอ