Covid-19 และวัคซีนที่ควรฉีดในคุณแม่ตั้งครรภ์
เมื่อพูดถึงการให้ยาหรือวัคซีนในคุณแม่ตั้งครรภ์ มักมีคำถามเสมอว่าจะปลอดภัยหรือไม่ ยาหรือวัคซีนนั้นจะมีผลต่อสุขภาพของคุณแม่หรือการตั้งครรภ์หรือเปล่า แล้วมีโอกาสส่งผลให้เกิดความพิการหรืออันตรายต่อลูกในครรภ์ไหม
ข้อแนะนำในการฉีดวัคซีน
ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา และคำแนะนำการให้วัคซีนในประเทศไทย แนะนำว่า วัคซีนที่ควรฉีดในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่สำคัญมีอยู่ 3 ชนิด คือ
-วัคซีนป้องกัน Covid-19 ซึ่งควรฉีดในสตรีตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์
-วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Flu vaccine) โดยเริ่มฉีดตั้งแต่อายุครรภ์ 14 สัปดาห์
-วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (Tdap) ฉีดในช่วงอายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน Covid-19, ไข้หวัดใหญ่ และไอกรนสำหรับทารกแรกเกิด การฉีดวัคซีนในคุณแม่ตั้งครรภ์จึงมีบทบาทในการส่งผ่านภูมิคุ้มกันนี้ไปสู่ลูกในครรภ์ เพื่อให้ลูกมีภูมิคุ้มกันตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่สามารถรับวัคซีนป้องกันเชื้อดังกล่าว และหากติดเชื้อมีโอกาสที่เด็กจะเจ็บป่วยรุนแรงจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อ Covid-19
3 วัคซีนสำหรับและข้อควรรู้
Covid-19 หรือ Corona Virus Disease 2019 โรคนี้จะการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ข้อมูลจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย พบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้า ICU เพิ่มขึ้น 2-3 เท่า และโอกาสที่อาการหนักจนต้องใส่เครื่องช่วยหายใจมีมากขึ้นถึง 2.6-2.9 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีมีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุมากกว่า 40 ปี, อ้วน, มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ซึ่งพบอัตราการเสียชีวิตได้ 1.5-8 คนใน 1,000 คน
ในการศึกษาที่ผ่านมา หากคุณแม่ติดเชื้อในช่วงของการคลอด มักตรวจไม่พบเชื้อไวรัส Covid-19 ในน้ำนมแม่ แต่พบที่ผิวหนังส่วนเต้านมได้ ซึ่งคุณแม่ที่ติดเชื้อ มีโอกาสที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า, โอกาสที่ลูกจะตายคลอด (ทารกเมื่อคลอดแล้วไม่มีอาการแสดงของการมีชีวิต) 2.8 เท่า, โอกาสที่ลูกจะติดเชื้อ ร้อยละ 3-5
เนื่องจากความรุนแรงจะเกิดได้มากในคุณแม่ตั้งครรภ์ การฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 จึงมีประโยชน์มากในการสร้างภูมิเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของโรค และลดโอกาสการเสียชีวิต จึงแนะนำให้ฉีดในคุณแม่ทุกคนหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
คุณแม่สามารถฉีดได้ทั้ง Sinovac, Astrazeneca และ mRNA วัคซีน โดยต้องฉีด 2 เข็ม ซึ่งแต่ละชนิดจะมีระยะห่างระหว่าง 2 เข็มต่างกัน โดยกรณีเป็น Sinovac & mRNA วัคซีนนั้น จะฉีดห่างกัน 4 สัปดาห์ ส่วน Astrazeneca นั้นห่างกัน 12 สัปดาห์ และการฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 ควรห่างจากวัคซีนชนิดอื่นที่ฉีดในคุณแม่ตั้งครรภ์ 2-4 สัปดาห์
Influenza หรือโรคไข้หวัดใหญ่ จัดเป็นโรคที่เกิดผลแทรกซ้อนรุนแรง และเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ โดยเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด 2-4 เท่า, เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดลูกน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ถึง 2 เท่า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของลูกในครรภ์ 2-4 เท่า
หลายการศึกษาทางการแพทย์พบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในคุณแม่ตั้งครรภ์มีส่วนช่วยลดอาการรุนแรงของคุณแม่ และลดโอกาสการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ของลูกได้ การฉีดวัคซีนให้คุณแม่จึงมีความสำคัญ เนื่องจากภูมิร่างกายที่อ่อนแอทำให้คุณแม่ติดเชื้อง่ายและอาการรุนแรงได้ ขณะที่การฉีดวัคซีนจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งส่งผ่านรกและสายสะดือไปสู่ลูกในครรภ์ ช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้ลูกในช่วงแรกเกิดซึ่งยังไม่สามารถรับวัคซีนได้ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 14 สัปดาห์ แต่เนื่องจากไวรัสมีการกลายพันธุ์บ่อย จึงต้องเลือกฉีดวัคซีนชนิดที่ครอบคลุมสายพันธุ์ที่มาก และครอบคลุมเชื้อในประเทศในปีนั้นๆ
Pertussis หรือโรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการติดเชื้อในเด็กแรกเกิดนั้นรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่มาก ในกรณีรุนแรง จะไอติดกันไม่มีจังหวะพัก เมื่อหยุดก็จะพยายามหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียงดังฮู้ป ซึ่งบางรายอาจมีผลแทรกซ้อนเกิดปอดอักเสบ หรืออันตรายถึงชีวิตได้ การป้องกันที่สำคัญคือ การฉีดวัคซีนป้องกันคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยักในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ช่วง 27-36 ส้ปดาห์ เพื่อการส่งผ่านภูมิคุ้มกันผ่านรกและสายสะดือไปสู่ลูกในครรภ์ให้เพียงพอในการป้องกันโรคไอกรนใน 3 เดือนแรกเกิดของลูก
เนื่องจากภูมิต้านทานที่ต่ำลงในคุณแม่ตั้งครรภ์ หากการติดเชื้อดังกล่าวพบร่วมกัน ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการเสียชีวิต และผลแทรกซ้อนต่อการตั้งครรภ์ การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันครอบคลุมทั้ง 3 โรคจึงมีความสำคัญ และแต่ละเข็มควรห่างกัน 2-4 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงอายุครรภ์ที่เหมาะสมในการฉีด และชนิดของวัคซีน Covid-19 ด้วย เพราะแต่ละชนิดก็เว้นระยะห่างไม่เท่ากัน เช่นหากเป็นวัคซีนเชื้อตาย (Sinovac) หรือ วัคซีนชนิด mRNA (Pfizer, Moderna) ต้องฉีด 2 เข็ม เว้นระยะห่าง 4 สัปดาห์ โดยอาจพิจารณาฉีดดังนี้
หากเป็นวัคซีนชนิด Viral vector (Astrazeneca) ต้องฉีด 2 เข็มห่างกัน 12 สัปดาห์ โดยอาจพิจารณาฉีดดังนี้
ในสถานการณ์ของโรคระบาด Covid-19 คุณแม่ตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงมากทั้งในแง่ของการติดเชื้อ และความรุนแรงของโรค ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นการป้องกันเร่งด่วนที่ต้องรีบฉีดให้เร็วที่สุดเมื่อถึงอายุครรภ์ที่ฉีดได้ และยังต้องฉีดวัคซีนอื่นที่จำเป็นในคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งมีระยะเวลาฉีดที่กำหนดแตกต่างกันด้วย ดังนั้นในคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ควรรีบปรึกษาคุณหมอเพื่อจัดตารางการฉีดให้ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ดีที่สุดค่ะ
เครดิตแหล่งข้อมูล : phyathai.com