ไขข้อข้องใจ ทำไมทารกกินน้ำผึ้งแล้วตาย

ไขข้อข้องใจ ทำไมทารกกินน้ำผึ้งแล้วตาย

พิษโบทูลินั่ม ทำไมมันถึงได้อันตรายล่ะ

พิษโบทูลินั่มทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและสุดท้ายคือกล้ามเนื้ออ่อนแรงมากจนหายใจไม่ได้ หรือป้องกันการสำลักน้ำลายตัวเองไม่ได้
ปกติกล้ามเนื้อจะหดตัวทำให้เกิดการขยับได้ต้องอาศัยสารสื่อประสาท acetylcholine จากปลายประสาท มาจับที่กล้ามเนื้อ
เจ้าพิษโบทูลินั่มนี่จะไปยับยั้งการหลังสารสื่อประสาท acetycholine
(โดยการตัด SNARE protein ที่ใช้ในการเชื่อม acetycholine vesicle กับเยื่อหุ้มเซลล์) ทำให้ไม่มีสาร acetycholine ไปกระตุ้นกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหดตัวไม่ได้ ก็อ่อนแรอาการของคนที่ถูกพิษโบทูลินั่ม จะเป็นอย่างไร

หากกินอาหารที่มีพิษโบทูลินั่มแล้ว

ประมาณ 4-6 ชม. อาจจะมีอาการเริ่มต้นเป็นคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย

จากนั้นที่ประมาณ 10 ชม. จะเริ่มมีอาการอ่อนแรงโดยมันจะทำให้มีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า คอ และต้นแขนต้นขาก่อนที่จะทำให้อ่อนแรงทั้งตัว (อัมพาต) และเสียชีวิตจากการหายใจล้มเหลว

การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้านี่สังเกตเริ่มต้นคือ หนังตาตก พูดไม่ชัด (แบบ Dave ในรูปด้านล่างล่ะครับ)

พิษนี้ทำให้อ่อนแรง "แต่ไม่ทำให้ชา" (ผิดกับพิษปลาปักเป้าที่ต้องชาก่อนเสมอ)

ตรวจร่างกายอาจจะพบลักษณะของ Anticholinergic (antimuscarinic) toxidrome เช่น ผิวแห้งไม่มีเหงื่อ ปากคอแห้ง การบีบบตัวของลำไส้ลดลง ม่านตาขยาย เพราะ acetylcholine ไม่ถูกหลั่งไปจับกับตัวรับของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทพาราซิมพาเทติก

ในผู้ใหญ่ทั่วไปตัวแบคทีเรียและสปอร์ไม่สามารถโตในกระเพาะลำไส้เราได้

แต่ในเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือน เกลือแร่และความเป็นกรดด่างในน้ำย่อยน้อยและเชื้อแบคทีเรียเจ้าถิ่นก็น้อย สปอร์ของ C.botulinum สามารถมาโตในลำไส้ของเด็กได้ ฉะนั้นแม้กินสปอร์เด็กก็ป่วยได้ อาหารที่มีความเสี่ยงต่อการมีสปอร์ C.botulinum หลงเหลือได้คือ น้ำผึ้ง และ แยม

ความน่ากลัวคือการฟื้นตัวจากการอ่อนแรงนี้มันช้ามาก ๆ ถึง 2-3 เดือนได้เลย (เพราะต้องให้เซลล์ประสาทสร้าง SNARE protein ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเซลล์ประสาทนี่สร้างอะไร ๆ ได้ช้า)

ซึ่งหากอัมพาตหรือหายใจล้มเหลวนาน ๆ ก็จะมีการติดเชื้อแทรกซ้อนตามมาได้

แต่การได้รับการรักษาโดยยาต้านพิษในวันแรก ๆ จะช่วยยับยั้งการดำเนินโรคไม่ให้การอ่อนแรงลุกลาม และอาจช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย

ดูแลรักษาคนที่ถูกพิษโบทูลินั่มอย่างไร

ขั้นแรกดูก่อนว่าหายใจไหวไหม ไม่ไหวใส่ท่อช่วยหายใจและช่วยหายใจก่อน
ประเมินแรงกล้ามเนื้อ และ parameter ของการหายใจเช่น vital capacity, negative inspiratory pressure, หรือจะเป่า peak flow ก็ได้
หากมีการลุกลามของการอ่อนแรง ต้องรีบให้ยาต้านพิษซึ่งเป็นเซรุ่มจากม้า เพื่อหยุดการดำเนินโรค และอาจจะช่วยให้ฟื้นไวขึ้นบ้าง (มี stock ในศูนย์พิษรามาฯ และองค์การเภสัชกรรมตรงข้ามรามาฯ เท่านั้น...มีเคสโทร 1367 นะจ๊ะ....มาช่วยกันยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความจำเป็นก่อนนะครับ)
อ้อ...อย่าลืมแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบแหล่งที่มาของโบทูลิซึมด้วย จะได้ไม่มีเคสต่อไป
ป้องกันไม่ให้ได้รับพิษโบทูลินั่มยังไงดี?

เลี่ยงอาหารที่น่าสงสัย ไม่กินอาหารกระป๋องบุบบิบ
อุ่นอาหารให้ร้อนก่อนกินเสมอ (โดยเฉพาะไส้กรอก อาหารกระป๋อง) ถ้าทำได้ เข้าไมโครเวฟไปเลย ไม่งั้นต้องร้อน 100c อย่างน้อย 10 นาที หรือ 80c นาน 30 นาที
บางครั้งอาหารบางขนิดมันสุดวิสัยมากอุ่นให้ร้อนจริง ๆ เช่นเหตุการณ์ที่เกิดโบทูลิซึมจาก โยเกิรต์ในอังกฤษ และ ทิรามิสุในอิตาลี โดยทั่วไปอาหารพวกนี้จะมีการสุ่มตรวจคุณภาพอยู่แล้ว อันนี้ต้องฟังข่าวว่ามีการเรียกเก็บผลิตภัณฑ์หรือเตือนโดย อย. กรมควบคุมโรค หรือแหล่งข่าวอื่นไหม
หากจะทำของบรรจุกระป๋องเองต้องแน่ใจว่า ไม่มีสปอร์ของแบคทีเรียเหลือ คร่าวๆ คือ 120c 30 นาที (ดูคำแนะนำใน เวปของ CDC เพิ่มเติมได้นะ)
ไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือนกินน้ำผึ่ง แยม และอาาหารกระป๋อง (เสี่ยงเจอสปอร์ของ C.botulinum)
อย่าเล่นยาเสพติด
หากจะฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งก็คือ พิษโบทุลินั่มชนิดเอ เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น ควรฉีดโดยผู้เชี่ยวชาญจริงๆเท่านั้นครับ

 


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์