ลูกมีน้ำมูกสีเขียว อาจบอกโรคมากกว่าที่คิด


 ลูกมีน้ำมูกสีเขียว อาจบอกโรคมากกว่าที่คิด


ในช่วงหน้าหนาว ลูกน้อยมักจะมีอาการป่วยเป็นหวัดได้ง่ายกว่าปกติ เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นและแห้งลง เมื่อลูกน้อยป่วยเป็นหวัดแต่ละครั้งก็อาจมีอาการที่แตกต่างกันออกไปได้ เช่น มีอาการหวัดที่มีแต่น้ำมูก อาจมีไข้สูงเป็นหลัก หรือบางครั้งอาจไอหนักมากกว่าอาการอื่นก็ได้เช่นกัน ซึ่งวันนี้คุณหมอมีข้อมูลเกี่ยวกับการสังเกตสีของน้ำมูกที่เป็นสีเขียวให้กับลูกน้อยว่าสามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกโรคอะไรได้บ้างมาฝากค่ะ และในช่วงหน้าหนาวนี้อาจจะมีโรคฮิตอย่างอื่นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง! 6 โรคให้กับลูกน้อย

สาเหตุของหวัดเกิดจากเชื้อโรคได้หลายชนิดมากมาย ดังนั้นการสังเกตจากสีน้ำมูกที่เป็นสีเขียวเมื่อลูกน้อยป่วยเป็นหวัด ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกโรคเบื้องต้นได้

1.หวัดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่หวัดของลูกน้อยมักเกิดจากเชื้อไวรัส โดยจะมีอาการไข้ ไอ น้ำมูกใส ๆ เจ็บคอ จาม อยู่ 2-3 วัน จากนั้นอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง แต่บางครั้งอาการหวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสอาจทำให้มีน้ำมูกเหนียวข้นค้างในจมูก จนอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียตามหลังจากการติดเชื้อไวรัสได้ คุณแม่ก็จะเห็นน้ำมูกของลูกน้อยค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีใส ๆ จนกลายเป็นน้ำมูกสีเขียว

2.หวัดที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย พบว่าเป็นสาเหตุของหวัดได้น้อยกว่าเชื้อไวรัส ลูกน้อยมักจะมีอาการฉับพลัน มีไข้ เจ็บคอ น้ำมูก ในปริมาณมากและมีสีเขียวทันที ซึ่งอาการมักจะดีขึ้นหลังได้รับประทานยาปฏิชีวนะ

3.ไซนัสอักเสบ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากหวัดเรื้อรังที่ไม่สามารถหายได้เองภายใน 1 อาทิตย์ และการติดเชื้อลุกลามเข้าไปในโพรงไซนัส ทำให้อาการหวัดแย่ลง แม้เวลาจะผ่านไปเกินอาทิตย์ก็ตาม มักจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ คัดจมูก จมูกไม่ได้กลิ่น และมีอาการไอเสมหะลงคอ

4.หวัดที่กำลังใกล้จะหาย มักมีอาการน้ำมูกใส ๆ ไหลนำมาก่อน แล้วน้ำมูกจะค่อย ๆ ข้นขึ้น จนกลายเป็นสีขาวขุ่นหรือสีเขียว ปริมาณน้ำมูกลดลง อาการหวัดต่าง ๆ ค่อย ๆ ดีขึ้น เช่น ไข้ลง ไอน้อยลง เจ็บคอน้อยลง ซึ่งแปลว่าอาการของลูกน้อยไม่น่าเป็นห่วง ใกล้หายแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะเห็นได้ว่าน้ำมูกสีเขียวอาจเป็นสัญญาณของอาการของโรคได้หลายชนิด บางครั้งการสังเกตอาการของลูกน้อยเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเกิดจากเชื้ออะไรและควรทานยาอะไร ดังนั้นหากลูกน้อยเป็นหวัดเรื้อรังเป็นเวลานาน ๆ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กให้แน่ใจและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ

​ขอบคุณข้อมูลจาก คุณหมอแอน พญ.ปิยะรัตน์ เลิศบรรณพงษ์

เครดิตแหล่งข้อมูล : babylove



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์