เมื่อลูกน้อยย่างเข้าวัย 2-3 ขวบ

เมื่อลูกน้อยย่างเข้าวัย 2-3 ขวบ

พัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยนี้ก้าวหน้าเร็วมาก วิ่งเร็วขึ้น และหกล้มน้อยลง เดินด้วยปลายเท้าได้ เด็กบางคนสามารถเดินบนไม้ท่อนเดียวที่วางพาดข้ามคูคลองได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และเล่นชิงช้าเองโดยไม่กลัว แต่เราต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน เด็กวัยนี้สนใจที่จะเล่นกับของเล่นใหญ่ๆ หรือใช้พลังงานในกาย คุณพ่อคุณแม่มักจะซื้อจักรยานสามล้อให้ขี่เล่น แต่การเล่นนอกบ้านควรมีเพื่อนเล่นด้วยจึงจะสนุก ถ้าเด็กยังไม่ไปสถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล เด็กควรมีโอกาสได้เล่นนอกบ้านกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในสถานที่ปลอดภัย อย่างน้อยวันละครั้ง ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ร่างกายของเด็กจะแข็งแรง

เด็กวัย 2 ขวบบางคนไม่นอนกลางวันเลย โดยเฉพาะเด็กซนมักเล่นสนุกเพลินจนลืมนอน เด็กแบบนี้เราควรบังคับให้นอน หรือไม่ก็ต้องสังเกตเปรียบเทียบเอาว่า ถ้าแกไม่นอนจะเกิดปัญหาสัปหงกตอนเย็นจนกินข้าวไม่ทันหรือไม่ แต่หน้าร้อนควรให้เด็กนอนตอนกลางวันบ้าง มิฉะนั้นจะเหนื่อยเกินไป และตัวเด็กเองก็คงอยากนอนด้วย ตอนกลางคืน เด็กวัยนี้ส่วนใหญ่จะนอนรวดเดียวตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่งจนถึง 7 โมงเช้า แต่เด็กบางคนก็ชอบอยู่ดึก นอน 4 ทุ่ม ตื่น 9 โมงเช้า ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่เดือดร้อนเรื่องเวลานอนของเด็กก็ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติ

การให้อาหารเด็ก อย่าคำนึงถึงแต่ด้านโภชนาการ ควรหัดให้เด็กพึ่งตนเองและยินดีตักกินเอง การจับเด็กนั่งโต๊ะและคุณแม่ป้อนใส่ปากให้ทุกคำ หรือพาเดินเที่ยวเล่นไปพลางป้อนข้าวไปพลางนั้นไม่ควรทำ ความสุขในการกินคือ ความอยากกินด้วยตนเอง (ไม่ใช่ถูกบังคับ) และความสุขในการร่วมวงกับครอบครัว ซึ่งเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่า เลี้ยงเด็กให้มีความสุขดีกว่าเลี้ยงเด็กให้อ้วน  เด็กที่เคยอ้วนตัวกลมสมัยเป็นเด็กอ่อน เมื่อเติบโตถึงวัยนี้ตัวจะยืดสูงขึ้น แต่น้ำหนักตัวกลับไม่ค่อยเพิ่มเด็กจึงดูผอมลง คุณแม่พยายามบังคับให้ลูกกินมากขึ้นด้วยความเป็นห่วง ถ้าคุณแม่นั่งป้อนมื้อหนึ่งเป็นชั่วโมงทุกวัน เด็กคงกินได้มากกว่าเวลากินด้วยตนเองแน่นอน น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่แคลอรีส่วนที่เกินนี้จะกลายเป็นไขมันอยู่ใต้ผิวหนังเท่านั้น

เด็กที่ไม่ค่อยกินข้าว เราให้กินนมช่วยได้ ถ้าคิดในทางกลับกันคือกลัวว่าเด็กกินนมแล้วจะไม่กินข้าว จึงงดนมทั้งหมด ให้กินแต่ข้าวกลับมีผลลบในทางโภชนาการ เด็กอายุ 2-3 ขวบ ควรดื่มนมวันละ 2-3 ขวด และให้กินขนม

เด็กอายุ 2-3 ขวบนี้สามารถบอกอึบอกฉี่ได้แล้ว แต่ยังมีหลายครั้งที่เด็กเล่นเพลินจนบอกไม่ทัน จึงทำให้เลอะเทอะ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเด็กไม่รู้สึกตัว แต่เป็นเพราะเด็กยังถอดกางเกงเองไม่เก่งจึงไม่ทัน ดังนั้นแทนที่คุณแม่จะดุเด็กว่า รีบบอกเร็วๆหน่อยซีจ๊ะ” ควรสอนวิธีถอดเสื้อผ้าให้ลูกดีกว่า เด็กวัยนี้ถ้าเราถอดกระดุมให้ก่อนอาบน้ำ เด็กจะถอดเสื้อผ้าเองได้ หรือแม้แต่กระดุม ถ้าเราค่อยๆสอนให้เด็กหัดถอดทีละเม็ดแกก็ทำได้ใส่รองเท้าเองได้ ก่อนนอนกลางคืน หากคุณแม่พาไปฉี่ให้เรียบร้อยเสียก่อน มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่อยู่ได้ถึงเช้าโดยไม่ฉี่รดที่นอน นอกจากเวลาอากาศหนาวหรือดื่มนมก่อนนอน เด็กจะทนไม่ไหว เด็กผู้ชายฉี่รดที่นอนบ่อยกว่าเด็กผู้หญิง สำหรับวัย 2-3 ขวบนี้ มีประมาณ 1 ใน 3 ที่ยังฉี่รดที่นอน


เมื่อลูกน้อยย่างเข้าวัย 2-3 ขวบ

เด็กวัย 2-3 ขวบเล่นกับเพื่อนมากขึ้น จึงติดโรคต่างๆมามากขึ้น เช่น หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส คางทูม ฯลฯ เมื่อเด็กมีไข้สูงกะทันหันและเกิดอาการชัก ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไวรัสของไข้หวัด อาการอาเจียนเป็นระยะเนื่องจากเหนื่อย ก็เกิดบ่อยขึ้นในวัยนี้ เด็กที่เคยเป็นผื่นแพ้ง่ายในวัยทารกและมีเสียงครืดคราดอยู่ในอกเสมอ จะถูกหาว่าเป็นโรคหืดในเด็กได้ง่าย แต่ขอให้คุณพ่อคุณแม่ทำใจให้มั่นคงเอาไว้ และพยายามช่วยให้ลูกรอดพ้นจากคำกล่าวหานี้ โดยไม่ต้องพาไปฉีดยาเป็นประจำ นอกจากนั้น เด็กวัยนี้อาจถูกกล่าวหาว่ามีอาการทาง ประสาทหรือมีพฤติกรรมผิดปกติ ด้วย บางคนกัดเล็บหรือดูดนิ้ว บางคนชอบเล่นอวัยวะเพศ ติดอ่าง เอาหัวโขกพื้น ฯลฯ

 

 คุณพ่อคุณแม่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านจิตใจของลูกได้อย่างไร

 

    ห้เขาได้สัมผัสกับธรรมชาติ และสอนเกี่ยวกับความอ่อนโยน อย่างการปลูกต้นไม้ การรดน้ำต้นไม้ จะช่วยทำให้เขามีจิตใจที่อ่อนโยนขึ้น มีสมาธิมากขึ้น

   เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงออก เช่น ได้พูด ได้แสดงอารมณ์เพื่อที่พ่อแม่จะได้เข้าใจความรู้สึกที่เขามีต่อสิ่งต่างๆ และบอกสอนเขาได้ว่าความรู้สึกแบบไหนดี แบบไหนไม่ดี ซึ่งจะได้สอนเขาได้ด้วยว่าเมื่อเจอสถานการณ์แบบเดิมอีก

   ให้เขาได้ฟังเพลงเป็นประจำ เพลงจะช่วยให้เขาอารมณ์ดี ช่วยพัฒนาสมองและอารมณ์ไปได้พร้อมๆ กัน เพราะบางครั้งเมื่อเด็กอยู่ในอารมณ์ซึมเศร้า หรือเกรี้ยวกราด เมื่อเขาได้ยินเพลงเบาๆ สบายๆ จะทำให้อารมณ์สงบลงและเบิกบานขึ้น

   คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้น้องมีสมาธิมากขึ้น เช่น ให้เขาได้เล่นเกมตัวต่อ ได้ทำงานบ้าน เพื่อที่เขาจะได้ฝึกสมาธิ ความอดทน และความใจเย็น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น และสร้างระเบียบวินัยใจตัวเอง

   ทุกครั้งที่ลูกทำผิด คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตำหนิอย่างรุนแรงด้วยการตะคอก แต่ควรจับให้เขาอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ห่างจากสิ่งที่ทำผิด แล้วอธิบายให้เข้าใจว่าไม่ควรทำเพราะอะไร เช่น ไม่ควรวิ่งลงบันไดเพราะจะทำให้ล้มแล้วเจ็บ ลูกไม่ชอบตอนล้มแล้วเจ็บใช่ไหม ลูกก็จะเข้าใจไม่ทำอีก

   ทุกครั้งที่ลูกทำดี ควรกล่าวชื่นชมและควรมีการสัมผัสเช่น ลูบหัว กอด เพื่อแสดงความรัก และจะยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้เขาในการทำสิ่งต่างๆ รวมถึงเขาจะคิดอยู่เสมอว่าจะต้องทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อให้พ่อแม่รักและไว้ใจ

อย่างไรก็ดี การดูแลลูกรัก ไม่ควรมุ่งเน้นเรื่อง ความฉลาด เก่ง และสมองดีเท่านั้น แต่ควรเพิ่มหลักการอีก 2 ข้อ คือ การฝึกให้ลูกเป็นคนดี และเป็นคนที่มีความสุขได้จากความสงบภายในจิตใจ ร่วมด้วย จึงจะทำให้ลูกอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์